รู้ไว้ใช่ว่า เปลี่ยนชื่อ ประกันรถยนต์ ทำได้ง๊ายง่าย

เมื่อคุณทำประกันรถยนต์ เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากคุณประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านมา โดยที่ประกันยังไม่หมดอายุ แต่คุณอยากจะเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือที่บ้านมีหลายคันอยากจะขายทิ้งบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คุณอาจกำลังสงสัยว่าแล้วจะทำอย่างไรกับประกันรถยนต์ หรือเปลี่ยนชื่อ ประกันรถยนต์ได้หรือไม่ บทความนี้มีคำตอบค่ะ

เปลี่ยนชื่อ ประกันรถยนต์

การ เปลี่ยนชื่อ ประกันรถยนต์ มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะลองแยกเป็นหลากหลายสถานการณ์ให้กับคุณนะคะ เพื่อที่คุณจะได้ทราบไว้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับประกันรถของคุณในกรณีที่ขายรถหรือเปลี่ยนมือผู้ขับกันบ้าง

  1. มีประกันรถยนต์เหลืออยู่ จะส่งมอบประกันที่เหลือให้ผู้ซื้อใหม่ ในกรณีนี้คุณสามารถส่งมอบประกันรถยนต์ที่เหลือนั้นให้กับผู้ซื้อรถต่อจากคุณได้ แต่แจ้งเปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นชื่อผู้ซื้อใหม่จะดีที่สุด เพราะหากไม่มีการเปลี่ยนชื่อ กรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วต้องมีการเคลมกัน หรือได้รับค่าเดินทางระหว่างรถเข้าซ่อมนั้น อาจเกิดความยุ่งยากกับคุณได้ เพราะทางผู้ซื้อจะต้องขอเอกสารเพิ่มเติมจากคุณอีกมากมายเลยทีเดียวค่ะ
  2. มีประกันรถยนต์เหลืออยู่ใช้เป็นของแถมเสริมได้ เมื่อจะขายรถยนต์ คุณก็ต้องหาสิ่งจูงใจให้ผู้ซื้ออยากจะซื้อรถของคุณ การบอกเขาว่าคุณยังมีประกันรถยนต์เหลืออยู่อีกหลายเดือนและพร้อมจะโอนประกันนี้ให้ นั่นเท่ากับว่าจะทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นการประหยัดเงินเขาไปได้นั่นเอง
  3. มีประกันรถยนต์และขายรถแต่อยากได้เงินคืน ในกรณีนี้คุณไม่ต้องการเปลี่ยนชื่อ ประกันรถยนต์ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งประกันไปเปล่า ๆ คุณสามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอเงินคืนจากจำนวนเดือนที่เหลือในประกันได้ ซึ่งทางบริษัทจะคำนวณมาให้คุณทราบว่าคุณจะได้รับเงินเท่าใด

 

หากคุณตัดสินใจให้ประกันที่เหลืออยู่กับผู้ซื้อใหม่ คุณสามารถส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนาทะเบียนรถ สำเนากรมธรรม์เดิม สำเนาใบขับขี่ของคุณและของผู้ใช้ใหม่ ให้กับบริษัทประกัน ซึ่งทางบริษัทก็จะได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับผลประโยชน์จากชื่อเดิมเป็นชื่อใหม่ และทำการออกเอกสารสลักหลังโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อใช้แนบกับกรมธรรม์เดิมนั่นเอง

 

เสริมอีกนิด ในกรณีที่เปลี่ยนชื่อ ประกันรถยนต์ โดยประกันของคุณเป็นแบบระบุผู้ขับขี่ และผู้ใช้ใหม่จะระบุผู้ขับขี่หรือไม่ต้องการระบุก็ตาม ซึ่งคุณจะต้องสอบถามทางบริษัทประกันอีกครั้งว่าต้องเพิ่มเติมค่าใช้จ่ายใด ๆ หรือไม่ เพราะในเวลาที่คุณทำประกันนั้น บริษัทได้คำนวณเบี้ยประกันจากพื้นฐานของอายุคุณเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนผู้ใช้ใหม่หากอายุใกล้เคียงกันก็ไม่เป็นปัญหา แต่หากอยู่คนละช่วงวัยค่าเบี้ยประกันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงค่ะ